แคลเซียม (ca)
สาเหตุ ธาตุอาหารไม่เพียงพอ หรือ ความไม่สมดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคัญเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อและเซลล์พืชกระตุ้นการดูดซับธาตุอาหารของราก และการเคลื่อนที่ธาตุอาหารในพืช แคลเซียมเป็นธาตุอาหารที่มีบทบาทสาคัญเกี่ยวกับคุณภาพผลผลิตของพืชไม้ผลและพืชผักต่าง ๆ แคลเซียมช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิต ทาให้การเน่าเบื่อช้าลง ความสาคัญของแคลเซียมต่อคุณภาพผลผลิตนับวันจะมีความสาคัญเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับบทบาท ของ แคลเซียม ไม้ผล พืชผัก และไม้ดอกมีความต้องการแคลเซียมมากกว่าธัญพืช เช่นข้าวหรือข้าวโพด ความเข้มข้นของแคลเซียมในพืชอยู่ระหว่าง 0.2-5.0% ในใบพืชส่วนมากมีความเข้มข้นของแคลเซียมระหว่าง 0.3-3.0% ความเข้มข้นของแคลเซียมในใบแก่สูงกว่าใบอ่อน
เนื่องจากแคลเซียมเป็นธาตุที่ไม่เคลื่อนที่ในพืช
ลักษณะอำกำร
อาการขาดธาตุแคลเซียมแคลเซียมมักเกิดที่ใบอ่อน หรือส่วนของพืชที่กาลังเจริญเติบโต เนื่องจากพืชไม่สามารถเคลื่อนย้ายแคลเซียมจากใบแก่ไปเลี้ยงส่วนที่กาลังเจริญเติบโตได้ทัน ใบอาจจะบิดเบี้ยวหรือม้วนงอในไม้ผล อาการขาดเเคลเซียมที่ใบสังเกตยาก เนื่องจากพืชมักไม่แสดงอาการที่ใบชัดเจน ส่วนมากมักแสดงออกที่ผล ที่พบมากคือ อาการที่ผลเป็นก้นเน่า เช่น ทุเรียนพันธุ์กระดุม
สภาพที่ส่งเสริมให้พืชไม้ผลหรือพืชขาดแคลเซียม
1. รากพืชมีความสามารถในการดูดใช้แคลเซียมต่ากว่าธาตุที่มีประจุบวกอื่น เช่น โพแทสเซียม เเมกนีเซียม และแอมโมเนียม หากใช้ธาตุเหล่านี้ในปริมาณมาก จะทาให้ขาดแคลเซียมได้ง่าย
2. ในเขตร้อนที่ดินเป็นกรด และฝนตกชุก แคลเซียมจะถูกชะล้างออกจากดินได้ง่าย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการใส่ปูนเพื่อปรับค่าความเป็นกรดของดินและให้แคลเซียมแก่พืช
3. การเคลื่อนย้ายของแคลเซียมจากรากไปยังผลเป็นไปได้ช้ามาก มีรายงานว่า เมื่อใส่ยิบซัมแก่พืชอาจต้องใช้เวลา 2-4 ปี แคลเซียมที่ใส่จึงเคลื่อนย้ายไปที่ผล หากต้องการให้ผลมีแคลเซียมเพียงพอจาเป็นต้องฉีดพ่นแคลเซียมไปที่ผลโดยดรง และต้องใช้ความเข้มข้นสูง การฉีดพ่นแคลเซียม-โบรอนที่เกษตรกรทำอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถให้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของผล
4. ใบเเละผลเป็นคู่แข่งที่สาคัญในการดูดใช้แคลเซียมถ้าพืชมีการเจริญเติบโตทางกิ่งก้านและใบมากจะทาให้การเคลื่อนย้ายแคลเซียมไปที่ผลเกิดได้น้อย
วิธีกำรแก้ไข
1. ปรับปรุงดินให้มีค่าความนี้นกรด-ด่างที่เหมาะสม (ระหว่าง 5.5-6.5)
2. ใส่ ซุปเปอร์แคล(SupperCal)เพื่อเพิ่มปริมาณแคลเซียมให้แก่ดิน ซุปเปอร์แคลจะละลายเเละเป็นประโยชน์แก่พืชเร็วกว่าปูนและเคลื่อนที่ลงไปที่ดินล่างได้ดีกว่า การใส่ ซุปเปอร์แคลอาจทาใหัการดูดใช้โพแทสเซียมและแมกนีเซียมลดลงเนื่องจากธาตุทั้ง 3ชนิดในกลุ่มนี้เป็นปฏิปักษ์ (anatagonism) ต่อกัน จึงควรวิเคราะห์ใบเพื่อตรวจสอบว่าพืชได้รับโพแทสเซียมและแมกนีนซียมอย่างเพียงพอ ในดินที่เป็นกรดจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวนไม้ผลทางภาคตะวันออกของไทยที่มีแคลเซียมในดินน้อย อาจต้องใส่ซุเปอร์แคลติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีจนกว่าดินจะมีการสะสมแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ จะดีกว่าการใส่ครั้งเดียวในปริมาณมาก ๆ เพราะอาจเกิดการเป็นปฏิปักษ์กับโพแทสเซียมและแมกนีเซียมดังที่กล่าวมาแล้ว
3.
ฉีดพ่นแคลเซียมให้แก่ผลโดยตรง วิธีที่ดีที่สุดคือฉีดพ่นเมื่อผลมีขนาดเล็กเนื่องจากแคลเซียมที่ใช้ไนการเจริญเติบโตของผลจะมาจากแคลเซียมที่ผลสะสมไว้ในขณะที่ยังเล็กอยู่เมื่อผลโตจนถึงระดับหนึ่งการสะสมแคลเซียมจะไม่เพิ่มขึ้น การฉีดพ่นแคลเซียม จะต้องใช้ความเข้มข้นสูง ในทุเรียนจะใชัแคลเซียมคลอไรค์ (สปาร์คแคล) เข้มข้นระหว่าง 2-4% และ
ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์เมื่อผลมีขนาดเล็ก 6 ครั้งติดต่อกัน สปาร์คแคล(แคลเซียมคลอไรค์) ที่ใช้จะเป็นเกิดอาหาร (food grade) ถ้าใช้เกรดปุ๋ย อาจมีสารเคมีบางอย่างปนเปื้อนทาให้สีผิวผลไม่สวยหรือเกิดอาการไหม้
ติดต่อ Tel / Line : 062-1692-564 เอ๊...ะ!ไพโรจน์

