ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
การเพิ่มผลผลิตของไม้ผลนอกจากการใช้วิธีการปลูก การให้น้ํา การปฏิบัติรักษา การให้ปุ๋ย ที่เหมาะสมแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ ปัจจัยเกี่ยวกับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง กับไม้ผล การใช้ฮอร์โมนกับไม้ผลก็เพื่อใช้เพิ่มคุณภาพและผลผลิตของไม้ผลให้สูงขึ้น การใช้ ฮอร์โมนกับไม้ผลเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต้องมีความรู้และมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายๆ ประการ ถ้า
หากใช้ไม่ถูกต้องอาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
ความหมายของฮอร์โมนและการแบ่งกลุ่มฮอร์โมนพืช
ฮอร์โมนพืช (plant hormone) คือ สารที่พืชสร้างขึ้นในปริมาณเพียงเล็กน้อยสามารถ เปลี่ยน แปลงขบวนการทางสรีระของพืชได้ ยังสามารถเคลื่อนย้ายจากบริเวณ ที่พืชสร้างขึ้นมาส่งไป บริเวณที่ตอบสนองต่อสารนี้ได้ คําว่าฮอร์โมนพืชนั้นเป็นคําที่คุ้นเคยและรู้จักกันดี แต่ความหมายที่ แท้จริงของฮอร์โมนพืชนั้นจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ข้อ ดังนี้
1. เป็นสารอินทรีย์ ซึ่งจะต้องประกอบด้วยธาตุคาร์ จักกันดี แต่ความหมายที่
2. พืชสร้างขึ้นมาเอง
3. มีเพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
4. มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆภายในพืช
ในปัจจุบันมีการสังเคราะห์สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (plant growth regulating chemical; PGRC.) ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ที่มีทั้งพืชสร้างขึ้นมาได้เองคือฮอร์โมนพืชและที่ มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมา สารอินทรีย์เหล่านี้แม้ใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถจะกระตุ้น ยับยั้ง หรือเปลี่ยนแปลงสภาพทางสรีระของพืชได้ (พีรเดช ทองอําไพ, 2537, หน้า 3-4)
ฮอร์โมนของพืชเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชเท่านั้นและสารที่ ใช้ในทางการเกษตรในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสารที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาเกือบทั้งหมด
200 ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
เนื่องจากการสกัดฮอร์โมนพืชทําได้ยากและใช้ต้นทุนสูงกว่าแต่จากความเคยชินแล้วเกษตรกรก็ยังนิยมเรียกสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่นี้ว่าฮอร์โมนด้วยโดยที่ฮอร์โมนเป็นสารประกอบอินทรีย์และมีการใช้ ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถ กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชได้ ฉะนั้นปุ๋ย หรือธาตุอาหารพืชไม่ว่าจะ เป็นสูตรใดมีความเข้มข้น เท่าใดก็ตามไม่จัดว่าเป็นฮอร์โมน
ฮอร์โมนประกอบด้วยสารต่างๆหลายชนิด สามารถจําแนกเป็นกลุ่มตามคุณสมบัติ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ (พีรเดช ทองอําไพ, 2537, หน้า 4-5)
1. ออกซิน (auxins) สารในกลุ่มนี้มีทั้งพืชสร้างขึ้นเองและสารสังเคราะห์มีหน้าที่ควบคุม การขยายตัวของเซลล์ การเจริญเติบโตของใบ การติดผล การเกิดราก และเกี่ยวข้องกับกระบวน การ อื่นๆ อีกมากมาย สารออกซินที่ใช้ในการเกษตรส่วนใหญ่เป็นสาร สังเคราะห์โดย ใช้ประ โยชน์ในการเร่ง รากของกิ่งตอนหรือกิ่งปักชํา ช่วยเปลี่ยนเพศดอกของพืชบางชนิด ช่วยติดผล ป้องกันผลร่วง หรือ ขยายขนาดของผล ออกซินบางชนิดใช้กันมากเพื่อการกําจัดวัชพืช สารออกซินที่พบว่าเกิดขึ้นเองช่วยติดผลป้องกันผลร่วง หรือ ตามธรรมชาติ เช่น ไอเอเอ (IAA, indole acetic acid) แต่มีอีกหลาย ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ได้ สังเคราะห์ขึ้น เช่น ไอบีเอ (IBA: indole butyric acid) 2,4-ดี (2,4-D,2,4-dichlorophenoxy acetic acid) และเอ็นเอเอ (NAA naphthalene acetic acid)
2. จิบเบอเรลลิน (Gibberellin) สารกลุ่มนี้พืชสร้างขึ้นได้เองและยังมีเชื้อรา บางชนิด สร้างสารนี้ได้ จึงมีการเลี้ยงเชื้อราเหล่านี้เพื่อนํามาสกัดสารจิบเบอเรอลินออกมาใช้ประโยชน์ ปัจจุบันยังไม่สามารถสังเคราะห์สารนี้ได้ในห้องปฏิบัติการ จึงทําให้สารชนิดนี้มีราคาสูง จิบเบอเรลลินมีหน้าที่ควบคุมการยืดตัวของเซลล์ การติดผล การเกิดดอก เร่งการเจริญเติบ โตของต้นพืช ชาวสวนองุ่นใช้ ประโยชน์จากจิบเบอเรลลินกันมาก โดยใช้ในการยึดช่อผล และปรับปรุงคุณภาพผลเป็นต้น สาร เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติเป็นกรด จึงเรียกกัน ติดปากว่ากรดจิบเบอเรลลิค และเรียกย่อๆ ว่า จีเอ (GA) โดยมีตัวเลขพ่วงท้ายว่า เป็นจีเอ ตัวที่เท่าใดที่ค้นพบ เช่น GA1, GA2, GA3 ซึ่งในปัจจุบันนี้มีมากกว่า 84 ชนิดด้วยกัน
3. ไซโตไคนิน (Cytokinins) มีหน้าที่ควบคุมการแบ่งเซลล์ การเจริญเติบโตทางด้านกิ่ง และใบ การแตกแขนง สารกลุ่มนี้ใช้ประโยชน์ทางพืชสวนน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้ในงาน เพาะ เลี้ยงเนื้อเยื่อพืช แต่ปัจจุบันเริ่มนํามาใช้เร่งการแตกตาข้างของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการ ขยายพันธุ์พืช โดยการติดตา ฮอร์โมนในกลุ่มนี้ที่พบในพืช ได้แก่ ซีอาน ส่วนสารสังเคราะห์ ได้แก่ บีเอพี (BAP หรือ 6-benzyl-aminopurine) และไคเนติน (kinetin)
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 201
ส่วนประกอบ
4. เอธทิลีนและสารปลดปล่อยเอธทิลีน (ethylene และethylene releasing compounds) สารเอธทิลีนเป็นก๊าซซึ่งพบได้ทั่วๆไป แม้กระทั่งในควันไฟก็มีเอธทิลีน เป็น พืชสามารถสร้างเอธทิลีนได้เองจึงจัดเป็นฮอร์โมนพืชชนิดหนึ่ง เอธทิลีนมีหน้าที่ ควบคุมการเกิดดอก การแก่และการสุกของผล และเกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของใบ ดอก ผล อาจกล่าวรวมๆ ได้ว่าเอธทิลีนมีหน้าที่กระตุ้นให้พืชแก่ตัวได้เร็วขึ้น การใช้ประโยชน์จากเอธทิลีนใน แปลงปลูกกระทําได้ยาก เนื่องจากเอธทิลีนเป็นก๊าซ ดังนั้น จึงมีการสังเคราะห์สารต่างๆ ให้อยู่ในรูป ของแข็ง หรือของเหลวที่สามารถปลดปล่อยก๊าซ เอธทิลีนออกมาได้ ซึ่งปัจจุบันได้นํามาใช้ประโยชน์ สารพวกเอธทิลีน ที่ใช้ในการเกษตรในปัจจุบันอยู่ในรูปของเอธที่ฟอน (ethephon) ซึ่งมีชื่อการค้าหลายชื่อ เช่น ที่ใช้ในการเกษตร เร่งการไหลของน้ํายางพารา อีเทรล (Ethrel) และซีฟา (Cepha)
5. สารชะลอการเจริญเติบโต (plant growth retardants) สารกลุ่มนี้ไม่พบตาม
ธรรมชาติในพืช เป็นกลุ่มของสารซึ่งสังเคราะห์ขึ้นมาทั้งหมด คุณสมบัติหลักของสารกลุ่มนี้ คือ ยับยั้งการสร้าง หรือการทํางานของจิบเบอเรลลิน ดังนั้น ลักษณะของพืชที่ได้รับสาร เหล่านี้จึงมัก แสดงออกในทางที่ตรงกันข้ามกับผลของจิบเบอเรลลิน ประโยชน์ของสาร ชะลอการเจริญเติบโตมี หลายอย่าง เช่นลดความสูงของพืชบางชนิด สารที่สําคัญในกลุ่ม นี้ได้แก่ แอนชิมิคอล (ancymidol) คลอมีควอท (chlormequat) พาโคลบิวทราโซล หรือคัลทาร์ (paclobutrazol or Cultar) ตลอดจน สารที่มีชื่อการค้าอื่นๆอีกมากและ ดามิโนไซด์ หรือ อาลาร์ 85 (daminozide or Alar85)
6. สารยับยั้งการเจริญเติบโต (plant growth inhibitors) สารกลุ่มนี้สร้างขึ้นมาเพื่อ ถ่วงดุลกับสารเร่งการเจริญเติบโตต่างๆไม่ให้พืชเจริญเติบโตมากเกินไป สารกลุ่มนี้ยังควบคุมการพัก ตัว การหลุดร่วงของใบ ดอก ผล หรือแม้กระทั่งควบคุมการ เกิดดอกของพืช ปัจจุบันมีการสร้างสาร สังเคราะห์ที่มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชเพื่อ ประโยชน์ทางการเกษตร เช่น ทําให้พืชแตกกิ่ง แขนงมากขึ้น ยับยั้งการเกิดหน่อยาสูบ เร่งการเกิดดอกของพืชบางชนิด สารที่สําคัญได้แก่ เอบีเอ (ABA) และมาเลอิก ไฮดราไซด์ (maleic hydrazide)
7. สารอื่นๆ เป็นสารที่ไม่อาจจัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งข้างต้นได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติ แตกต่างกันออกไป เช่น สารเร่งการเจริญเติบโตทั่วๆ ไป สารทําให้ใบร่วง สารเพิ่มผลผลิต สารใน กลุ่มนี้มีผลต่อพืชค่อนข้างจํากัดและมักใช้เพื่อประโยชน์อย่าง ใดอย่างหนึ่งโดย เฉพาะ สารที่น่าสนใจ ได้แก่ฟอลซิสทีน (folcisteine) ที่ช่วยในการติดผลและเพิ่มผล ผลิตในองุ่น ส้มและสตรอเบอรี เป็นต้น นอกจากนี้ได้แก่สารที่มีชื่อว่า ไกลฟอเซท (glyphosate) พาราควอท (paraquat) และ โซเดียม โมโนไนโตร เควคอล (Sodium mononitro quaiacol) เป็นต้น
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
มีสารเคมีหลายชนิดที่สามารถกระตุ้นหรือเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ เช่น ปุ๋ยชนิดต่างๆ หรือแม้แต่โพแทสเซียมไนเตรต (potassium nitrate, KNO.) ไทโอยูเรีย (thiourea) ไฮโดรเจนไซ- ยานาไมด์ (hydrogencyanamide) ซึ่งใช้เร่งการเกิดดอกของมะม่วง รวมทั้งโพแทสเซียมคลอเรต (potassium chlorate, KCIO) กระตุ้นลําไยให้เกิดดอกต่างก็ทําหน้าที่เหมือนสารควบคุมการ เจริญเติบโตของพืช แต่ไม่จัดไว้เป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใน 7 กลุ่มที่กล่าวมาแล้วเนื่องจากสารเหล่านี้ ไม่ใช่สารอินทรีย์
ตามที่ฮอร์โมนจํานวนมากมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป จึงสามารถใช้ประโยชน์กับพืช ได้อย่างกว้างขวาง แต่การจะเลือกใช้ฮอร์โมนกับพืชชนิดใด ควรพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ชนิดของพืช พืชแต่ละชนิดจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนแตกต่างกันออกไปเช่น มะม่วงจะเกิดดอกได้ดีกว่ากระท้อนเมื่อใช้สารพาโคลบิวทราโซล (paclobutrazol) เหมือนกัน หรือ แม้แต่ว่าเป็นพืชชนิดเดียวกันแต่ต่างพันธุ์ออกไปก็จะให้ผลได้ไม่เหมือนกัน เช่น สารพาโคลบิวทรา โซล (paclobutrazol) จะเร่งการเกิดช่อมะม่วงพันธุ์น้ําดอกไม้ ได้ดีกว่าพันธุ์เขียวเสวยและหนองแซง
2. ชนิดของสาร สารแต่ละชนิดจะให้ผลต่อพืชแตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ในกลุ่ม เดียวกันก็ตามเช่น NAA IBA และ IAA ซึ่งอยู่ในกลุ่มออกชิ้นเหมือนกัน แต่จะเร่งการเกิดรากพืช ได้แตกต่างกัน
3. ความเข้มข้นของสาร ฮอร์โมนส่วนใหญ่จะเกิดประโยชน์ต่อพืชเมื่อใช้ในความเข้มข้น ต่ําแต่ถ้าใช้ในระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้น จะไปยับยั้งหรือทําอันตรายต่อพืชได้ เช่น 2, 4-D เมื่อใช้ใน ความเข้มข้นต่ําจะกระตุ้นการติดผลของส้ม แต่การใช้ความเข้มข้นสูงจะเป็นพิษต่อพืช ซึ่งนํามาใช้
เป็นสารกําจัดวัชพืช GKAVEREN
4. ช่วงอายุของพืช เอธที่ฟอน (ethephon) กับต้นสับปะรดอายุ 4-8 เดือนจะทําให้ลําต้นแคระ แกร็น แต่ถ้าใช้กับต้นสับปะรดอายุ 8 เดือนขึ้นไปจะเร่งการเกิดดอกให้เร็วขึ้นได้ ABE
5. สภาพแวดล้อม ถ้าสภาพอุณหภูมิสูงและความชื้นในอากาศสูงพืชจะดูดซึมสารได้ดีแต่ ถ้าอากาศร้อนจัดการใช้สารบางชนิดจะต้องลดความเข้มข้นลง การใช้เอธทิฟอน (ethephon) เพื่อ
เร่งการเกิดดอกในสับปะรดจะใช้ในช่วงเวลาเย็นหรือท้องฟ้ามีเมฆมากจะได้ผลดีกว่าการใช้ในเวลา
กลางวันที่แดดร้อนจัด
6. วิธีการใช้สาร สารแต่ละอย่างมีวิธีการใช้ไม่เหมือนกัน เช่น สารพาโคลบิวทราโซลเมื่อ ราดโคนต้นจะได้ผลดีกว่าการฉีดพ่นทรงพุ่ม
7. ความสมบูรณ์ของต้นพืช ต้นพืชที่แข็งแรงสมบูรณ์จะตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ดีกว่าต้น ที่อ่อนแอ
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 203
ฮอร์โมนที่นิยมใช้กับไม้ผล ได้แก่
1. ไอบีเอ (indole butyric acid ; IBA) มีชื่อการค้าหลายชนิด เช่น เซราดิกซ์ (Seradix) รู้ทโกร (Root-Gro) เป็นสารอยู่ในกลุ่มออกซิน ใช้มากในเรื่องการเร่งรากกิ่งปักชําหรือกิ่งตอน ในทางการค้านิยมกันมากคือ เซราดิกซ์ (Seradix) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
Seradix No 1 มีเนื้อสาร IBA 0.1 % ใช้กับไม้เนื้ออ่อน
Seradix 63 มีเนื้อสาร IBA 0.3% ใช้กับไม้กึ่งอ่อนกึ่งแก่
Seradix No 3 มีเนื้อสาร IBA 0.8 % ใช้กับไม้เนื้อแข็ง
2. เอ็นเอเอ (naphthalene acetic acid ; NAA) อยู่ในกลุ่มของออกซิน เป็นฮอร์โมนที่ จําหน่ายอย่างแพร่หลายมากที่สุด ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปผง และสารละลายมีความเข้มข้น 4.5 % มีชื่อการค้ามากมายเช่น Planofix Planter Gro-Plus ส่วนใหญ่จะใช้ละลายน้ําเพื่อเร่งราก กิ่งปักชํา นอกจากใช้เพื่อช่วยให้เกิดรากแล้วยังใช้ใน การติดตาและการทาบกิ่งด้วยหรือใช้เร่งตาที่ติดดี แล้วให้แตกเป็นกิ่งเร็วขึ้น นอกจากใช้ ในด้านขยายพันธุ์พืชแล้วสาร NAA ยังใช้ป้องกันการร่วงของ ผลกับไม้ผลหลายชนิด เช่น มะม่วง นอกจากนี้สาร NAA ยังใช้เปลี่ยนเพศดอกเงาะให้เกสรเพศ เมียเปลี่ยนเป็นเกสรเพศผู้ เป็นการเพิ่มดอกเพศผู้ให้สามารถผสมกับดอกสมบูรณ์เพศที่เกสรเพศผู้ ไม่สามารถใช้ผสมได้ ทําให้เงาะมีการติดผลดียิ่งขึ้น
3. จิบเบอเรลลิน (Gibberellin หรือ gibberellic acid หรือ GA.) มีชื่อการค้ามากมาย เช่น จิบเอกซ์ (Gib X) โปรจิบ (Progib) นาตาก เกียววา นิยมใช้กับสวนองุ่น เพื่อให้ขั้วดอกยาวออก และมีความโปร่งมากขึ้น รูปทรงของผลและช่อผลสวยงามชวนซื้อและยังทําให้เนื้อกรอบขึ้น เช่น ใช้กับส้มเขียวหวานในระยะดอก บานจะช่วยให้ติดผลดีขึ้น ใช้กับเงาะในระยะที่ผลเริ่มเปลี่ยนสี จะทําให้เงาะเปลี่ยนสีอย่างสม่ําเสมอทั้ง ช่อและเร่งให้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นด้วย นอกจากใช้กับองุ่น แล้วยังใช้กับไม้ผลอื่นๆ ในบาง ผมใช้กับสวนองุ่น เพื่อให้ช่อยืด
4. เอธทิฟอน (ethephon) มีชื่อการค้าว่า Ethrel Cepha Cepa Florel Ethrel latex เป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม ของเอธทิลีน (ethylene) ใช้เร่งสับปะรดให้เกิดดอกโดยใช้ความเข้มข้น 300 ppm. + urea3% ฉีดพ่นหรือหยอดที่ยอดต้นละ 50 cc. เมื่ออายุ 8-9 เดือนจะเร่งให้เกิดดอกได้ สม่ําเสมอกันภายใน 50 วัน แต่ถ้าใช้กับต้นเล็กเกินไปหรืออายุยังไม่ถึง 8 เดือนจะชะลอการ เจริญเติบโตได้ ถ้าใช้ความเข้มข้น 500 ppm ใช้ฉีดหรือจุ่มผลไม้ เช่น กล้วย มะม่วง มะละกอ ละมุด กระตุ้นให้สุกและเปลือกของผลเปลี่ยนสีได้อย่าง สม่ําเสมอ สวยงาม
สําหรับถ่านก๊าซ (calcium carbide) หรือก๊าซตะเกียงที่คนไทยรู้จักกันดีนั้นเมื่อถูก ความชื้นหรือโดนน้ํา จะทําปฏิกิริยาเกิดก๊าซอะเซธทิลีน (acetylene) ซึ่งปกติจะใช้ก๊าซนี้ในการจุด ตะเกียงให้แสงสว่างหรือใช้ในการ เชื่อมโลหะ แต่เนื่องจากก๊าซอะเซธที่ลื่นนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับก๊าซ เอธทิลีน จึงสามารถใช้ก๊าซอะเซธทิลีนแทน ก๊าซ เอธทิลีนได้ โดยการใช้ก๊าซอะเซธทิลีน มาเร่งการเกิด ดอกของสับปะรดและบ่มผลไม้ให้สุกเช่นเดียวกับก๊าซเอธทิลีน
204 ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
5. พาโคลบิวทราโซล (paclobutrazol) มีชื่อการค้าว่าสารคัลทาร์ (Cultar) บอนไซ พาสเล่ย์ พรีดิกซ์สารตัวนี้อยู่ในกลุ่มของสารชะลอการเจริญเติบโต (plant growth retardants) ใช้อย่างแพร่หลายเพื่อเร่งการเกิดดอกของไม้ผลเช่น มะม่วง ลําไย ทุเรียน มะนาว การใช้นิยมใช้การ ราดโคนต้นจะได้ผลดีกว่าการฉีดพ่นทรงพุ่ม ควรใช้ราดช่วงที่ดินชื้นและมีใบยังไม่แก่
6. ดามิโนไซด์ (daminozide) มีชื่อการค้าว่า อะลาร์ 85 (Alar 85) B-Nine SADH เป็นสารในกลุ่มสารชะลอการเจริญเติบโตเช่นเดียวกับสาร paclobutrazol สาร daminozide ได้ นํามาใช้ในการเพิ่มผลผลิตของไม้ผลหลายชนิดเช่น ใช้เพื่อให้ติดผลดีขึ้น ใช้เร่งการแก่ของผล ใช้เพิ่ม คุณภาพของผล ไม้ผลที่ใช้สารตัวนี้ ได้แก่ แอปเปิล องุ่น มะม่วง ลําไย เป็นต้น
7. มาเลอิก ไฮดราไซด์ (maleic hydrazide MH) สารในกลุ่มนี้เป็นสารยับยั้งการ เจริญเติบโตของพืช (plant growth inhibitors) ในทางปฏิบัติจริง ๆ จะใช้กับไม้ผลน้อยมาก เช่น เคยทดลองใช้เพิ่มการเกิดดอก ของมะม่วงซึ่งเมื่อใช้สารตัวนี้แล้วจะทําให้การแตกกิ่งใหม่ชะงักไปได้ นาน 2 สัปดาห์ทําให้ความยาวของกิ่งสั้นลง และ ยังทําให้จํานวนช่อดอกต่อต้นเพิ่มขึ้นด้วย แต่ก็ยังไม่ เป็นที่นิยมใช้กันนักเพราะยังได้ผลไม่ค่อยแน่นอน
ส่วนประกอบของฮอร์โมน
ฮอร์โมนพืชที่เกิดจากการสังเคราะห์เพื่อเลียนแบบฮอร์โมนพืชตามธรรมชาตินั้นจัดได้ว่าเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในการเกษตร ซึ่งจะไม่ใช้เป็นสารบริสุทธิ์ แต่จะประกอบด้วยส่วนสําคัญ 3 ส่วนดังต่อไปนี้
1. สารออกฤทธิ์ (active ingredient หรือ a.i.) หมายถึงเนื้อสารจริงๆ ที่จะแสดงผลต่อ พืชได้ตามคุณสมบัติที่สารนั้นมีอยู่ มักจะบอกเป็นเปอร์เซนต์ของสารออกฤทธิ์ในสารผสมทั้งหมดหรือ แสดงหน่วยน้ําหนักต่อปริมาตร (เช่นกรัมต่อลิตร) เช่นแพลนโนฟิกซ์ (Planofix) ระบุว่ามี NAA 4.5% เป็นสารออกฤทธิ์ หมายความว่าสารแพลนโนฟิกซ์ 1 ขวด ปริมาตร 100 มิลลิลิตรมีเนื้อ สารผสมอยู่ 4.5 กรัม
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 205
2. สารทําให้เจือจาง (diluent) หมายถึง สารอื่นๆ ไม่ว่าเป็นของแข็งของเหลวหรือก๊าซที่ ใช้ผสมกับสารออกฤทธิ์เพื่อให้ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ลดลงมาอยู่ในระดับเหมาะสมเพื่อสะดวก ในการใช้ สารทําให้เจือจางต้องไม่ทําปฏิกิริยาทางเคมีกับสารออกฤทธิ์ และต้องไม่เป็นผลเสียต่อพืช เช่นน้ํา แอลกอฮอล์ ดิน แป้ง หรืออากาศ ยกตัวอย่างสารแพลนโนฟิกซ์ (Planofix) 1 ขวด ปริมาตร 100 มิลลิลิตร ซึ่งมีเนื้อสาร NAA ผสมอยู่ 4.5 กรัม แสดงว่าส่วนเหลือเกือบทั้งหมด (ประมาณ 95%) เป็นสารทําให้เจือจางประสิทธิประสานจะบรรจุ ภาชนะออกจําหน่าย
3. สารเพิ่มประสิทธิภาพ (adjuvants) หมายถึง สารใดก็ตามที่ผสมแล้วมีผลทําให้
หรืออยู่ในรูปที่มีประสิทธิภาพสูงสุด อาจเป็นยาจับใบยาเปียก ใบ หรืออื่นๆ ผู้ผลิตสารเคมีทางการเกษตรจะเพิ่มสารประสิทธิภาพก่อนจะบรรจุภาชนะออกจําหน่าย สารเพิ่มประสิทธิภาพชนิดใดเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของตนก็จะจดทะเบียนลิขสิทธิ์หรือปกปิดเป็น
ความลับของบริษัท
วิธีใช้ฮอร์โมน
ฮอร์โมนเป็นสารเคมีทางการเกษตรชนิดหนึ่ง ซึ่งการใช้จะแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบที่ แต่ละบริษัทผลิตออกมา ซึ่งทั่วไปจะมีจําหน่ายในรูปต่างๆ ดังนี้ (พีรเดช ทองอําไพ, 2537 หน้า 154) 1. ผงละลายน้ํา (water soluble powder หรือ w.s.p.) เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปผง เพื่อจะใช้นํา มาผสมน้ําจะได้สารละลายไม่ตกตะกอน และให้กับพืชโดยวิธีจุ่ม แช่พ่นทางใบหรือรด ลงดิน ผลิตภัณฑ์เตรียมในรูปผงละลายน้ําได้แก่ Alar 85 Gibberellin Kyowa
2. สารละลายเข้มข้น (water soluble concentrate หรือ w.s.c.) เป็นผลิตภัณฑ์อยู่ใน รูปสารละ ลายใส เมื่อจะใช้นํามาผสมนําจะได้สารละลายใสเช่นกันฮอร์โมนที่ใช้ส่วนมากจะ อยู่ในรูปนี้
3. สารละลายน้ํามันละลายน้ํามัน (emulsifiable concentrate หรือ e.c.) การเตรียมสารรูปนี้ต้อง ผสมสารจับตัวกับน้ําและน้ํามันได้ดี (emulsifier) ลงไปด้วย เมื่อใช้จะต้องผสมน้ําจะได้สารผสมมี สารลักษณะขุ่นเหมือนน้ํานม แต่ไม่ตกตะกอน หรือแยกชั้น ได้แก่ Maintain CF 125
4. สารในรูปครีม (paste) เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ประโยชน์ได้โดยตรง โดยการทาหรือป้าย สารในบริเวณที่ต้องการ สารที่ทําให้เจือจางอาจเป็นลาโนลิน ขี้ผึ้ง หรือสารกึ่งแข็งกึ่งเหลวอื่นๆ ตัวอย่างสารในรูปครีมที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ เช่น Cepha
5. ผง (dust) ส่วนมากจะใช้เร่งราก กิ่งปักชําโดยการเอาส่วนของพืชจุ่มลงในผงของสาร โดยตรง สารจําพวกนี้ ได้แก่ Seradix
206 ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
6. สารแขวนลอยเข้มข้น (suspension concentrate หรือ s.c.) ผลิตภัณฑ์ลักษณะขุ่น คล้ายแป้งผสมน้ํา เมื่อใช้จึงนํามาผสมน้ํา ซึ่งจะได้สารผสมซึ่งขุ่นคล้ายแป้งผสมน้ําได้แก่ Cultan
ปัญหาจากการใช้ฮอร์โมนของเกษตรกร จากรายงานของนักวิจัยในต่างประเทศและใน เมืองไทย มักระบุชื่อฮอร์โมนเป็นชื่อสามัญพร้อมทั้งบอกความเข้มข้นที่ใช้ เช่นการใช้เอธทีฟอนเข้มข้น 300 พีพีเอ็ม (ppm.) ฉีดพ่นต้นสับปะรดอายุ 9 เดือนจะเร่งให้เกิดดอกได้สม่ําเสมอกัน แต่ปัญหาก็ คือเอธทิฟอนเป็นชื่อสามัญซึ่งมีชื่อการค้าได้หลายตัวได้แก่ Ethrel Flored Cepa Cepha แต่
บริษัทผู้จําหน่ายมักไม่ระบุชื่อสามัญหรือชื่อทางเคมีของฮอร์โมนนั้นๆรวมทั้งไม่ระบุความเข้มข้น บนผลิตภัณฑ์วันหมดอายุและบริษัทผู้ผลิตอีกด้วย จํานวน 2-3 ช้อนผสมน้ํา 1 ปี๊บ ฉีดมะม่วงเพื่อป้องกันการร่วงและเร่งให้ผลใหญ่ ทําให้เกษตรกรไม่มีเข้มข้น เพื่อป้องกันคร่าวๆ เช่นใช้ฮอร์โมนการนําไปเปรียบเทียบสําคัญที่สุด เมื่อเกษตรกรใช้ตามวิธีการที่ระบุอย่างคร่าวๆ แล้วไม่ได้ผล หรือประสบความเสียหายก็ไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรจากผู้จําหน่ายได้
สารควบคุมการเจริญเติบโตเป็นสารเคมีการเกษตรชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่มีพิษเช่นกัน ดังนั้น การใช้สารเหล่านี้จึงต้องให้ความระมัดระวังเช่นเดียวกับการใช้สารฆ่าแมลง เช่น ห้ามใช้มือคน สาร หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเข้มข้นโดยตรง สวมชุดที่สามารถป้องกันการฟุ้งกระจายของสารและ ตามหลักเกณฑ์เพื่อความปลอดภัยในการใช้สารพิษอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วสารเหล่านี้มักสลายตัวได้ ง่ายโดยทั่วไปแล้วสารเหล่านี้มักสลายตัวได้ง่าย ซึ่งจะทําให้เสื่อมประสิทธิภาพ ได้เร็ว จึงควร เก็บรักษาไว้ในที่เย็นและไม่ถูกแสง ควรผสมสารให้เพียงพอต่อการใช้ในแต่ละครั้งเท่านั้นและเพื่อ ความมั่นใจในประสิทธิภาพของสารจึงไม่ควรใช้สารที่เก็บรักษาไว้นานเกิน 2 ปี
การคํานวณความเข้มข้นของสารก็เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะหากการคํานวณไม่ ถูกต้องก็จะเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่มีผลตอบแทนและอาจจะทําความเสียหายให้แก่ต้นไม้ผลได้ การคํานวณความเข้มข้นของสารในคําแนะนํามักบอกความเข้มข้นของสารเป็น PPM หรือส่วนใน ล้านส่วน ตัวอย่างเช่น มีคําแนะนําให้ใช้GA3 ความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ หรือ 20,000 PPM หากจะ เจือจางให้เป็น 2 PPMในน้ํา 1 ปีบ (20 ลิตร) ก็ต้องตวง สารGA3 มา 2 ซีซี. ผสมในน้ํา 20 ลิตร ให้เข้ากันดีก่อนจึงนําไปใช้
วิธีคํานวณอย่างง่ายๆ ให้ยึดหลักว่า ความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์ คือ 10,000 PPM หรือ ถ้าบอกเป็นน้ําหนักก็หมายถึงว่า สาร 1 กรัมในน้ํา 1 ลิตร จะได้สารละลาย 1,000 PPM หรือสาร 1 มิลลิกรัมในน้ํา 1 ลิตรเท่ากับ 1 พีพีเอ็ม โดยปรกติการชั่งน้ําหนักที่เป็น หน่วยย่อยๆ จะไม่ค่อยทํากัน มักนิยมเตรียมสารให้มีความเข้มข้นสูงๆในระดับ 1,000 ถึง 10,000 พีพีเอ็ม แล้วจึงตวงสารนี้มา เจือจางให้ได้ระดับความเข้มข้นที่ต้องการ (นารีรัตน์ กุณาศล, 2534, หน้า 445-448)
Note: ต.ย.
เม็พ 25% * 1(ขวด500ซีซี) = 37.5 ppm* V2(น้ำ)
V2(น้ำ) = [25*500]/37.5
= 333,333.33 ซีซี.
= 333 ลิตร(น้ำ)
เตรียมสารละลายเม็พ25% อัตรา 500ซีซี/น้ำ 330 ลิตร
หรือเม็พ 1.5 ซีซี/น้ำ 1ลิตร หรือ 450 ซีซี /น้ำ 200 ลิตร
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 207
การใช้ฮอร์โมนผลิตไม้ผลนอกฤดู
การใช้ฮอร์โมนผลิตไม้ผลนอกฤดูสามารถทําได้สําเร็จและได้ผลดีมากกับมะม่วง ได้ทําการ ทดลองบังคับ ให้มะม่วงพันธุ์ต่างๆ เช่น เขียวเสวย หนองแซง น้ําดอกไม้ และอกร่อง เกิดดอก ติดผลนอกฤดู โดยใช้ สารพาโคลบิวทราโซล ร่วมกับสารโพแทส เซียมไนเตรต ผลการทดลองปรากฏได้ค่อนข้างดี (สถาบันวิจัย พืชสวน กรมวิชาการเกษตร, ว่าสามารถช่วยเร่งให้มะม่วง เกิดดอกก่อนฤดูได้ค่อนข้างดี (2532, หน้า 64-66) สารพาโคลบิวทราโซล -(paclobutrazol) เป็นสารชะลอ การเจริญเติบโตพืชชนิดหนึ่งมีชื่อ ทางการค้าว่าคัลทาร์ (Cultar) อยู่ในรูปสารแขวนลอยเข้มข้น 10% นิยมใช้กับพวกไม้ผล เช่น แอปเปิล เป็นต้น มีชื่อทางเคมีว่า (2RS, 3RS)-1-(4-chlorophenyl) -4,4-dimethyl-2- (1H-1,2,4- triazol-1-yl) pentan 3-ol หรือ C, H, CINO สามารถละลายน้ําได้ มีผลยับยั้งการสร้าง จิบเบอเรลลิน บริเวณใต้ เนื้อ เยื่อเจริญของยอด (Sub-apical meristem) สารนี้เคลื่อนย้ายได้ดีโดย ผ่านท่อลําเลียงน้ํา (xylem) เพื่อเคลื่อนไปยังใบและตาดังนั้น การใช้สารโดยการราดลงดิน จะได้ผล ดีกว่าการให้สารทางใบ สารจะถูกดูดซึมเข้าทางรากได้ดีและเร็วกว่าการให้สารทางใบ
การให้สารพาโคลบิวทราโซลกับมะม่วง นอกจากจะมีผลทําให้มะม่วงเกิดดอกติดผลก่อน ฤดูแล้วยังมี ผลทําให้ต้นมะม่วง ชะลอการเจริญเติบโตทางด้านกิ่งก้านลง ทั้งนี้เพราะสารดังกล่าวมีผลทําให้ ชะลอการแบ่ง เซลล์ และการยืดตัวของเซลล์ บริเวณปลายยอดของกิ่งมะม่วงส่งผลให้มะม่วงไม่สูง ใหญ่เร็วเกินไปซึ่งสะดวก ในการเก็บเกี่ยว การดูแลรักษา การควบคุม ทรงพุ่มของต้น รวมทั้งสามารถ เพิ่มจํานวนต้นต่อไร่ได้มากขึ้น
วิธีการบังคับให้มะม่วงเกิดดอกนอกฤดู
เริ่มจากต้องเตรียมพร้อมต้นมะม่วงโดยเริ่มตั้งแต่ เมื่อเก็บเกี่ยวผลมะม่วงเสร็จจะต้องทําการตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่ง การตัดแต่งกิ่งนั้นต้องพิจารณาดูว่ากิ่งนั้น เก็บเอา ไว้แล้วให้ผลคุ้มค่าที่ดูดกินธาตุอาหาร ขึ้นไปหรือไม่หากไม่คุ้มก็ตัดทิ้ง สิ่งที่ควรตัดทิ้งคือกิ่งอ่อนแอ กิ่งที่ไม่รับแสงแดด กิ่งที่ทํามุมแคบกับ ลําต้น กิ่งที่มีโรคแมลงมาก การตัดแต่งกิ่งนั้นต้องตัดให้ชิดกับโคนกิ่ง เมื่อตัดเสร็จแล้วทารอยแผล ด้วยสารกันราหรือปูนแดงเพื่อป้องกันโรคเข้าทางรอยแผล การตัดแต่งกิ่งมะม่วงนั้นมีความยุ่งยากมากจึงควรหาซื้อเลื่อย คมๆ ชนิดที่ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้โดยเฉพาะ เลื่อย ประเภทนี้มีน้ําหนักเบาและสามารถ ต่อด้ามได้
208 ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
เมื่อตัดแต่งกิ่งเสร็จจะต้องใส่ปุ๋ยบํารุงต้น ปุ๋ยที่ใช้คือปุ๋ยหมัก สําหรับมะม่วงอายุ 7-10 ปี ใส่ต้นละ 20 กิโลกรัม และเสริมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อีกต้นละ 2 กิโลกรัม หว่านให้รอบ ชายพุ่มแล้วพรวนกลบรดน้ําให้ชุ่มเมื่อมะม่วงได้รับการดูแลรักษาอย่างดีก็จะแตกใบอ่อน โดยทั่วไป แล้วมะม่วงจะแตกใบ อ่อนในเดือนพฤษภาคม 1 ครั้งและแตกใบครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนสิงหาคม อีก 1 ครั้ง หลังจากมะม่วง แตกใบอ่อนครั้งที่ 2 จึงให้สารพาโคลบิวทราโซลได้
วิธีการให้สารพาโคลบิวทราโซล
1. ให้สารในระยะที่มะม่วงมีการแตกใบใหม่ ใบมะม่วงอยู่ในระยะใบเพสลาด หรือหลังจาก แตกใบอ่อนได้ 2 สัปดาห์
2. ต้องมีความชื้นอยู่พอดี หากดินแห้งควรรด น้ําให้ชุ่มก่อนราดสาร 1 วัน
3. กําจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นมะม่วงให้หมด
4. ตวงสารพาโคลบิวทราโซล ตามอัตราที่กําหนดคือ 10 ซี.ซี.ผสมลงในน้ําสะอาดจํานวน 4 ลิตรใส่ในบัวรดน้ําแล้วราดบริเวณโคนต้น อัตราของสารพาโคลบิวทราโซลใช้สารพาโคลบิวทราโซล 10 เปอร์เซ็นต์ จํานวน 10 ซีซีต่อเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงพุ่ม 1 เมตร หากมะม่วงอายุ 7 ปี โดยทั่วไปจะมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงพุ่มประมาณ 8 เมตร ดังนั้น ต้องใช้สารพาโคล บิวทราโซล 80 ซีซี มะม่วงอายุมากๆ เช่นอายุ 20 ปี และมีทรงพุ่มขนาด 18 เมตรจะต้องใช้ สารมาก ถึง 180 ซีซีต่อต้น
การใช้สารพาโคลบิวทราโซล
ต้องใช้ตามอัตราที่กําหนดในอัตราที่สัมพันธ์กับขนาดของทรง พุ่มคือ 1 กรัมสารออก ฤทธิ์ ต่อขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 1 เมตร (พาโคลบิวทราโซล 10 เปอร์เซ็นต์ จํานวน 10 ซีซี) หากใช้น้อยเกินไปอาจไม่ได้ผลแต่ถ้าใช้มากเกินไปอาจเป็นผลเสีย ช่อดอกออกเป็นกระจุก กิ่งและใบที่เกิดใหม่หดสั้น หลังจากราดสารพาโคลบิวทราโซลได้ 30 วัน ควรพ่นปุ๋ยทางใบด้วยปุ๋ย ที่มีฟอสเฟตสูง จํานวน 2-3 ครั้ง ห่างกันทุก 10 วัน หลังจากราดสารพาโคลบิวทราโซล 2 ถึง 2.5 เดือน มะม่วงจะ เริ่มแสดงอาการพร้อมที่ จะเกิดดอกโดยสังเกตตาที่ปลายกิ่งจะมีลักษณะ เต่งขึ้น ช่วงนี้ควรเร่งให้ แทงช่อดอก ออกพร้อมกัน โดยใช้สารโพแทสเซียมไนเตรต ความเข้มข้น 2.5 เปอร์เซ็นต์ หรือสารโพแทสเซียมไนเตรต 0.5 กิโลกรัมต่อน้ํา 20 ลิตร สําหรับพันธุ์เขียวเสวย หากเป็น พันธุ์น้ําดอกไม้ หรือฟ้าลั่นใช้โพแทสเซียมไนเตรตเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอ การพ่น สารโพแทสเซียมไนเตรท ความเข้มข้นสูงๆ โดยเฉพาะในช่วงแดดจัดอาจทําให้ใบมะม่วงไหม้เสียหายได้ อาจใช้ไทโอยูเรีย (thiourea) 0.5% แทนโพแทสเซียมไนเตรทได้
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 209
การผลิตมะม่วงนอกฤดู จะได้ผลดีหรือไม่ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
1. พันธุ์มะม่วง มะม่วงบางพันธุ์ บังคับให้ออกนอกฤดูได้ง่าย เช่น พันธุ์น้ําดอกไม้ ฟ้าลั่น หนองแซง แห้ว โชคอนันต์ ศรีสยาม แต่บางพันธุ์บังคับค่อนข้างยาก เช่น แรด อกร่อง เขียวเสวย
2. ความอุดมสมบูรณ์ของต้นมะม่วง มะม่วงที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง จะบังคับให้เกิด ดอกติดผลนอกฤดูได้ง่ายกว่ามะม่วงที่มีความสมบูรณ์ต่ํา
3. มะม่วงที่ปลูกในสภาพไร่ ช่วงปลูกในสวนดินเหนียวยกร่อง บังคับเคร,
4. ช่วงเวลาการให้สาร ช่วงเวลาการให้สารที่เหมาะสมที่สุด ควรให้สารพาโคลบิวทราโซล
ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้เพราะหลังจากให้สาร 2 เดือนครึ่ง ซึ่งตรงกับกลางเดือนตุลาคม จึงทําการ
กระตุ้นให้เกิดดอกโดยการพ่นสารโพแทสเซียมไนเตรท และมะม่วงจะเกิดดอกปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งดอกมะม่วงบานในช่วงที่หมดฝนพอดี การบังคับให้มะม่วงเกิดดอกใน กลางฤดูฝนนั้นสามารถทําได้ แต่การติดผลจะไม่มากเท่าที่ควร และมักจะเกิดปัญหามะม่วงติดผลที่ ไม่มีเมล็ด ผลเหล่านี้จะร่วงเสียตั้งแต่ผลมีขนาดเล็ก
5. การดูแลรักษาหลังจากมะม่วงเกิดดอก มะม่วงเกิดดอกแล้วจะติดผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ ปริมาณของดอกสมบูรณ์เพศ หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าดอกเพศเมีย มีมากพอหรือไม่ หากดอกที่เกิด มามีดอกสมบูรณ์เพศน้อยจํานวนผลก็น้อยลงไปด้วย และในช่วงดอกมะม่วงบาน จําเป็นต้องมี แมลงมาช่วยผสมเกสร แมลงสําคัญที่ช่วยผสมเกสรได้แก่ ผึ้งมิ้น แมลงสําคัญที่ช่วยผสมเกสรได้แก่ ผึ้งมิ้น ผึ้งโพรง ผึ้งพันธุ์ แมลงวันหัวเขียว ช่วยผสมเกสร เกินไปจึงจําเป็นต้องเพิ่มแมลง โดยการ เลี้ยงผึ้งหรือเพาะแมลงวันในสวนให้มากขึ้นการป้องกันกําจัดแมลงและโรคหลัง การเกิดดอกเป็นสิ่ง สําคัญ แมลงศัตรูมะม่วงที่ สําคัญ เช่น เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ ส่วนโรคที่สําคัญได้แก่ โรคแอนแทรค โนส โรคราแป้ง ดังนั้น จึงต้องทํา การพ่นสารเคมีป้องกันกําจัดโรคและแมลงอยู่เสมอ การดูแลรักษา มะม่วง หลังมะม่วงติดผลแล้ว ต้องให้น้ํา และปุ๋ยอย่างสม่ําเสมอ การให้ปุ๋ย ให้ยึดหลักให้น้อยแต่ บ่อยครั้งจะดีกว่า การให้ปุ๋ยเคมีให้เมื่อผลโตเท่า เมล็ดถั่วเขียวโดยใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จํานวนต้นละ 1-2 กิโลกรัมหว่านในแนวทรงพุ่มแล้วรด น้ํา ให้ปุ๋ยละลาย และให้ปุ๋ยอีกครั้ง เมื่อหลังดอกบานประมาณ 2 เดือนด้วยปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น สําหรับปริมาณของปุ๋ยนั้นขึ้นกับขนาดของต้นและจํานวนผลบนต้น มะม่วงต้นใหญ่ๆติดผลเป็นร้อยก็ควรให้ปุ๋ย
210 ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล
การผลิตมะม่วงนอกฤดูนั้นขายง่ายได้ราคาดีและยังเป็นการช่วยขยายฤดูแการผลิตมะม่วง ให้มีช่วงกว้างขึ้นแทนที่จะผลิตได้เพียงปีละ 3 เดือน ต่อไปเราอาจผลิตได้ปีละ 6 เดือน ซึ่งจะเป็น ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการนํามะม่วง ไปจําหน่ายยังตลาดต่างประเทศ เพราะเสียค่าโฆษณาครั้งเดียวใช้ได้นานถึง 6 เดือน หรือถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีกก็ต้องผลิตและส่งขายกันตลอดทั้งปี
การให้สารชะลอการเจริญเติบโต คือ พาโคลบิวทราโซลมีผลยับยั้งการเจริญ เติบโต ทางกิ่งใบช่วยให้มีการสะสม คาร์โบไฮเดรตทั้งหมดที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้าง (total non-structural Carbohydrates ; TNC) ในกิ่งยอดเร็วขึ้นทําให้ต้นที่ได้รับสาร เกิดดอกได้ก่อนต้นที่ไม่ราดสาร แต่รูปแบบ การเปลี่ยนแปลงของคาร์โบไฮเดรตใน ช่วงก่อนเกิดดอกและระหว่างเกิดดอกติด ผล ไม่ต่างกัน เพียงเป็นการราดสารช่วย ขยับให้รูปแบบนี้เกิดเร็วขึ้นคาร์โบไฮเดรตไม่แตกต่างกันโดยต้นที่ราดและไม่ราดสารมี ปริมาณการราดสารทั้งปีแรกและเป็นปีที่สองทําให้มะม่วงเกิดดอกนอกฤดูได้ตามปรกติ (ประมาณ 2 เดือนครึ่งหลังราดสาร)การ เกิดดอกสม่ําเสมอ โดยต้นที่ราดสารเป็นปี ที่สองเกิดดอกเร็วกว่าประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นมะม่วงที่ทดลองสมบูรณ์เป็นปรกติ ดังนั้นการราดสารจึงไม่น่าจะทําให้ การเกิดดอก ผิดปรกติไป (กฤษณา กฤษณพุกต์, ลพ ภวภูตานนท์, คุณพล จุฑามณี และ อุษณีย์ พิชกรรม, 2543, หน้า 3) ชักนําให้ มะม่วงแก้วเกิดดอกนอกฤดูกาล 411)
เอกรินทร์ คุณยิ่งยศ และธวัชชัย รัตน์ชเลศ (2545, หน้า 11) ได้ศึกษาระยะเวลาที่ เหมาะสมในการใช้ไทโอยูเรียร่วมกับโพแทสเซียมไนเตรทเพื่อสนับสนุนพาโคลบิวทราโซลที่ใช้สําหรับ ชักนําให้มะม่วงแก้วเกิดดอกนอกฤดูกาลพบว่าการราดสารพาโคลบิว ทราโซล อัตรา 1 กรัมต่อต้น ให้กับมะม่วงแก้วอายุ 4 ปีที่ปลูกไว้ในถุงพลาสติกสีดําซึ่ง มีปริมาตรของดิน 0.02 ลูกบาศก์เมตรใน ขณะที่ใบอยู่ในระยะเพสลาด (ระยะใบกึ่งแก่กึ่งอ่อน) สามารถชักนําให้เกิดดอกนอกฤดูได้โดยดอก ABH บาน 50% ใช้ระยะเวลา 94 วัน การใช้ส่วนผสมของไทโอยูเรีย 2.5 กรัม ผสมกับโพแทสเซียมไน เตรท 20 กรัมต่อน้ํา 2 ลิตรพ่นทางใบหลังจากนั้น 45 วันทําให้มะม่วงเกิดดอกนอกฤดู แต่ไม่ได้ทําให้เวลานับจากวันที่ราดสารถึงวันที่ดอกบาน 50% สั้นลง ส่วนอีกสองกรรม วิธี คือพ่นสารผสมทั้งสองที่ 65 และ 85วันหลังราดสารนั้นทําให้เกิดดอกก่อนกําหนด การพ่นสารทั้งสองทําให้เห็นว่ามะม่วงที่ปลูก ลงในสภาพถุงที่มีความจุน้อยอัตราส่วน พาโคลบิวทราโซล 1 กรัมต่อต้นนั้นสามารถชักนําให้เกิดดอก นอกฤดูกาลได้เร็ว โดย ไม่ต้องอาศัยการพ่นส่วนผสมของไทโอยูเรียและโพแทสเซียมไนเตรท สนับสนุน ทั้งยังไม่ได้ทําให้มีจํานวนช่อดอกหรือจํานวนผลเพิ่มมากขึ้นและทุกกรรมวิธีที่ราดสารพาโคลบิวทราโซลทําให้มะม่วงมีจํานวนใบลดลงพืชแสดงอาการเป็นพิษจึงควรระวัง อย่างยิ่งในการราดสารดังกล่าวไม่ให้มากเกินไป
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 211
นอกจากมะม่วงแล้วการใช้ฮอร์โมนผลิตไม้ผลนอกฤดูยังได้มีการทดลองใช้กับพืชอื่นๆ เช่น
ทุเรียน เงาะ ลําไย ลิ้นจี่ มะนาว ฯลฯ แต่ผลการทดลองยังไม่แพร่หลายและยังไม่ประสบความสําเร็จ เท่าที่ควร ในอนาคตอาจจะมีการใช้ฮอร์โมนผลิตไม้ผลนอกฤดูกับไม้ผลอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
สรุปท้ายบท
การใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหรือฮอร์โมนพืชสามารถเพิ่มผลผลิตของไม้ ผลได้ถ้าใช้อย่างถูกต้อง สามารถแบ่งสารนี้ออกเป็น 7 กลุ่มที่สําคัญ ได้แก่ ออกซิน จิบเบอเรลลิน 7 ไซโตไคนิน เอธทิลีน สารชะลอการเจริญเติบโต สารยับยั้งการเจริญเติบโตและสารอื่นๆ การจะ เลือกใช้ฮอร์โมนกับพืชชนิดใดมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ ชนิดของพืช ชนิดของสาร ความเข้มข้นของ สาร ช่วงอายุของพืช สภาพแวดล้อม วิธีการใช้สาร และความสมบูรณ์ของต้นพืช ฮอร์โมนที่นิยมใช้ กับไม้ผลได้แก่ IBA NAA GA, ethephon (ให้ ethylene) paclobutrazol daminozide และ malelic hydrazide ส่วนประกอบของฮอร์โมนมี 3 ส่วน ได้แก่ สารออกฤทธิ์ สารทําให้เจือจาง และ สารเพิ่มประสิทธิภาพ รูปแบบของฮอร์โมน ได้แก่ แบบผงละลายน้ํา สารละลายเข้มข้นในน้ํา สารละลายในน้ํามัน สารละลายในรูปครีม สารเป็นผง และสารแขวนลอยเข้มข้น การใช้ฮอร์โมน ผลิตไม้ผลนอกฤดู สามารถทําได้ผลดีกับมะม่วงโดย ใช้สารพาโคลบิวทราโซลร่วมกับโพแทสเซียม ไนเตรทหรือไทโอยูเรีย การผลิตมะม่วงนอกฤดู จะได้ผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ พันธุ์มะม่วง การผลิตมะม่วงนอกฤดูจะได้ผลดีหรือ
ความสมบูรณ์ของต้น สภาพสวน ช่วงเวลาการให้สาร และการหลังจากดอกแล้ว
เอกสารอ้างอิง
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับไม้ผล 2136
กฤษณา กฤษณพุกต์, ลพ ภวภูตานนท์, คุณพล จุฑามณี และ อุษณีย์ พิชกรรม. (2543) การศึกษาสาเหตุและแนวทางแก้ปัญหาการออกดอกและติดผลไม่สม่ําเสมอของมะม่วง วารสารสาระไม้ผลและผัก, 5(2), 3.นารีรัตน์ คุณาคมน กุณาศล. (2534) วิธีเพิ่มผลผลิตองุ่นโดยใช้สารควบคุมการเจริญเติบโต, วารสารกสิกร 64(5), 445-448.
พีรเดช ทองอําไพ (2537), ฮอร์โมนพืชและสารสังเคราะห์ : แนวทางการใช้ประโยชน์ในประเทศ ไทย (พิมพ์ครั้งที่4), กรุงเทพฯ : วิชัยการพิมพ์
รวี เสรฐภักดี. (2525), การสร้างสวนผลไม้ (พิมพ์ครั้งที่ 3), กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มิตรสยาม สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร. (2532), เอกสารวิชาการที่ 1 เรื่องมะม่วง, กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์พรรณการพิมพ์ จํากัด
เอกรินทร์ คุณยศยิ่ง และ ธวัชชัย รัตน์ชเลศ. (2545), ระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้ไทโอยูเรีย ร่วมกับโพแทสเซียมไนเตรต เพื่อสนับสนุนพาโคลบิวทราโซลที่ใช้สําหรับชักนําให้มะม่วง แก้วออกดอกนอกฤดูกาล, วารสารสาระไม้ผลและผัก, 7(2),11.