จิบเบอเรลลิน (Gibberellin) เป็นฮอร์โมนพืชที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ ควบคุมการเจริญเติบโตและมีอิทธิพลต่อกระบวนการทางพัฒนาการรวมทั้งการยืดของข้อ การงอก การพักตัว การออกดอก การแสดงเพศ การชักนำการสร้างเอนไซม์ รวมทั้งการชราของดอกและผล [1]จิบเบอเรลลินถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2469 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น Eiichi Kurosawa ผู้ศึกษาโรคบากาเนะในข้าว เริ่มจากการศึกษาต้นข้าวที่เป็นโรค Bakanae ซึ่งมีลักษณะสูง ผอม เกิดจากเชื้อรา Gibberella fujikuroi[1][2] และถูกสกัดออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2478 โดยTeijiro Yabuta จากเชื้อรา G. fujikuroi เมื่อสกัดสารที่เชื้อรานี้สร้างขึ้นไปทดสอบกับพืชชนิดอื่น พบว่าทำให้พืชนั้นๆมีอาการอย่างเดียวกันคือต้นผอม สูง จึงตั้งชื่อสารที่พบนี้ว่าจิบเบอเรลลิน สารที่พบชนิดแรกตั้งชื่อว่าจิบเบอเรลลิน[1] ต่อมามีการพบอนุพันธ์ของกรดจิบเบอเรลลิกจากราอีกหลายชนิด รวมทั้งในพืช ใน พ.ศ. 2546 พบจิบเบอเรลลินแล้ว 126 ชนิดทั้งที่แยกได้จากพืช รา และแบคทีเรีย[1] คุณลักษณะทางเคมีและการสังเคราะห์จิบเบอเรลลินเป็นสารกลุ่มไดเทอร์พีนอยด์ที่สังเคราะห์โดยวิถีเทอร์พีนอยด์ในพลาสติดแล้วจึงเปลี่ยนรูปในเอนโดพลาสมิก เรกติคิวลัมและไซโตซอลจนได้รูปที่ออกฤทธิ์ในสิ่งมีชีวิตได้ จิบเบอเรลลินทั้งหมดมีโครงสร้างหลักเป็น ent-gibberellane ที่สังเคราะห์มาจาก ent-kaurene การสังเคราะห์จิบเบอเรลลินในพืชชั้นสูงเริ่มจากสร้าง Geranylgeranyl diphosphate (GGDP) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มดีเทอร์พีนอยด์โดยทั่วไป จากนั้นจึงเปลี่ยน GGDP ไปเป็น ent-kaurene แล้วจึงเปลี่ยนเป็น GA12 แล้วจึงเปลี่ยนต่อไปเป็นจิบเบอเรลลินตัวอื่นๆ [3]จิบเบอเรลลินเป็นอนุพันธ์ของกรดจิบเบอเรลลิก (Gibberellic acid) จัดเป็นสารกลุ่มดีเทอร์พีนอยด์ (Diterpenoid) ปัจจุบันพบแล้วมากกว่า 80 ชนิด ดังตัวอย่าง มีจุลินทรีย์หลายชนิดที่สร้างจิบเบอเรลลินได้ เช่น แบคทีเรีย ไซยาโนแบคทีเรีย ยีสต์ สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีแดงรวมทั้งไมคอไรซาในรากกล้วยไม้ [4] ในรา วิถีการผลิตจิบเบอเรลลินคล้ายกับพืชชั้นสูง แม้ว่าเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องจะต่างไป ในรากพืชตระกูลถั่วที่เกิดปม มีสารคล้ายจิบเบอเรลลินมากกว่ารากข้างเคียงที่ไม่เกิดปม Phaseolus lunatus ที่เติมเชื้อ Bradyrhizobium sp. ที่จำเพาะต่อกัน ส่วนปล้องจะยาวกว่าต้นที่ได้รับเชื้อชนิดเดียวกันแต่ไม่จำเพาะ และพบจิบเบอเรลลินหลายตัวในปมที่มีแบคทีเรียที่กระตุ้นการยืดยาวของปล้องได้[5] จิบเบอเรลลินสามารถกระตุ้นการเจริญของแบคทีเรีย (เช่น Azotobactor Pseudomonas) ยีสต์ และราได้เช่นกัน จิบเบอเรลลินยังสามารถกระตุ้นการตรึงไนโตรเจนและการเจริญเติบโตของ Anabaena ได้ด้วย[6] การออกฤทธิ์ของจิบเบอเรลลิน[แก้]การออกฤทธิ์ทางสรีรวิทยาที่สำคัญของจิบเบอเรลลินได้แก่ [7][8]
กรดจิบเบอเรลลิก (หรือ Gibberellin A3, GA, และ (GA3) เป็นฮอร์โมนพืชกลุ่มจิบเบอเรลลิน สูตรโครงสร้างคือ C19H22O6 ในรูปบริสุทธิ์เป็นผงสีขาวหรือเหลืองละลายในเอทานอลและละลายในน้ำได้เล็กน้อย กรดจิบเบอเรลลิกเป็นจิบเบอเรลลินพื้นฐานที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการยืดตัวของเซลล์ มีผลต่อการสลายตัวของพืชและช่วยให้พืชเจริญเติบโตถ้าใช้ในปริมาณน้อย ๆ กรดจิบเบอเรลลิกช่วยกระตุ้นเซลล์ระหว่างการงอกของเมล็ดพันธุ์ให้สร้าง mRNA สำหรับเอนไซม์ไฮโดรไลติก กรดจิบเบอเรลลิกเป็นฮอร์โมนธรรมชาติที่มีศักยภาพมากในการควบคุมการพัฒนาของพืช การประยุกต์ใช้จิบเบอเรลลินความเข้มข้นต่ำมากจะมีผลอย่างมากในขณะที่มากเกินไปจะมีผลตรงข้ามมักที่ความเข้มข้นระหว่าง 0.01-10 mg / L จิบเบอเรลลินถูกพบครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อพ.ศ. 2478 เป็นสารที่สร้างจากเชื้อโรค Gibberella fujikuroi ที่ก่อโรคในข้าว ข้าวที่ติดเชื้อ G. fujikuroi จะมีลักษณะสูง ผอม สูงกว่าปกติจนตายเพราะไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของตัวเอง จิบเบอเรลลินมีผลกระทบต่อการพัฒนาพืช ได้แก่:
กรดจิบเบอเรลลิกบางครั้งใช้ในห้องปฏิบัติการและเรือนกระจกเพื่อศึกษาการงอกในเมล็ดที่อาจจะพักตัว นอกจากนี้ยังใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมองุ่นโดยใช้เป็นฮอร์โมนเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดองุ่นที่ช่อและผลใหญ่โดยเฉพาะองุ่นไม่มีเมล็ดและใช้ในอุตสาหกรรมเชอร์รี่เป็นสารควบคุมการเจริญเติบโต |
พืชที่ใช้: พืชไร่: ข้าว อ้อย มัน ถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง. ไม้ผล: มังคุด เงาะ ทุเรียน, พืชผัก: ถั่ว ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง พริก, ไม้ดอก: มะลิ กล้วยไม้ เบญจมาศ |
วิธีใช้: 10 – 20 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร |